เหตุผลที่ไม่ควรเลือกใช้ แฟลชไดร์ฟที่มีขนาดความจุสูง

ในการใช้งานแก็ดเจ็ตจัดเก็บข้อมูลพกพาอย่างแฟลชไดร์ฟนั้น ปัจจุบันนี้ผลิตออกมาหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแบบ card usb, rubber usb, pen usb, metal usb ความจุที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ใช้งานหลายคนมักเข้าใจว่ายิ่งมีขนาดความจุสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะจะทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เยอะ สามารถใช้งานโอนถ่ายไฟล์ขนาดใหญ่...

ในการใช้งานแก็ดเจ็ตจัดเก็บข้อมูลพกพาอย่างแฟลชไดร์ฟนั้น ปัจจุบันนี้ผลิตออกมาหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแบบ card usb, rubber usb, pen usb, metal usb ความจุที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ใช้งานหลายคนมักเข้าใจว่ายิ่งมีขนาดความจุสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะจะทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เยอะ สามารถใช้งานโอนถ่ายไฟล์ขนาดใหญ่ ๆ ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้แบรนด์ผู้ผลิตเจ้าต่าง ๆ ก็ดูจะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ด้วยการผลิตแฟลชไดร์ฟที่มีขนาดความจุสูงถึงระดับเทราไบต์ หรือกว่า 1,000 เมกะไบต์ ออกมาวางจำหน่าย ซึ่งนับเป็นขนาดความจุที่ผู้ใช้งานหลายคนไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นในแก็ดเจ็ตขนาดจิ๋ว อย่างไรก็ตามในการใช้งานแก็ดเจ็ตชิ้นนี้จริง ๆ จะเห็นได้ว่าปริมาณความจุที่สูงระดับเทราไบต์ หรือหลายเทราไบต์นั้นไม่ได้ตอบสนองความต้องการใช้งานกิจกรรมการเรียน การทำงานต่าง ๆ ได้ดีกว่าแฟลชไดร์ฟที่มีขนาดความจุระดับกิกะไบต์สักเท่าไหร่ และยังตามมาด้วยข้อเสียอีกหลายประการเช่นกัน ในบทความนี้จึงจะมากล่าวถึงข้อเสียต่าง ๆ ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นเหตุผลที่ผู้ใช้งานหลายคนไม่ควรเลือกใช้แฟลชไดร์ฟที่มีขนาดความสูงเกินไปให้ได้ทราบกัน
ขนาดความจุที่มากเกินความต้องการใช้งานจริง เหตุผลแรกที่การเลือกใช้งานแฟลชไดร์ฟที่มีขนาดความจุสูงๆ ดูจะไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ใช้งานหลายคนก็คือ ขนาดความจุที่สูงเกินความต้องการใช้งานจรงนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานจัดเก็บไฟล์รูปภาพ วิดีโอ และไฟล์เอกสารทั่วไปสำหรับกิจกรรมการทำงานต่าง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วระดับความจุกิกะไบต์ เช่น 128GB, 256GB, 512GB ก็มักจะเพียงพอที่จะรองรับการใช้งานได้ครอบคลุมแล้ว จึงแทบไม่มีความจำเป็นที่ผู้ใช้งานต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อแลกกับพื้นที่ความจำระดับเทราไบต์ เช่น 1TB, 2TB, 4TB
ความเสี่ยงที่ไฟล์จะสูญหายกะทันหัน และไม่สามารถกู้คืนได้ อย่างที่ทราบกันดีว่าปัญหาคลาสสิคอย่างนึงในการใช้งานแฟลชไดร์ฟ ก็คือ อาการชำรุดเสียหายที่เกิดขึ้นแบบกะทันหัน ซึ่งมาได้จากหลากหลายสาเหตุ และเปอร์เซ็นต์ที่จะกู้คืนไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ กลับมาที่มีค่อนข้างน้อย เนื่องจากการรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลในแฟลชไดร์ฟนั้นเป็นแบบดิจิทัล(แตกต่างจากระบบจากหมุนแบบฮาร์ดดิสก์ ที่การบันทึกจัดเก็บข้อมูลมีความมั่นคง ปลอดภัยกว่า) ดังนั้นยิ่งมีพื้นที่ความจำสูงเท่าไหร่ ก็มีแนวโน้มที่ผู้ใช้งานอาจจะจัดเก็บไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในแฟลชไดร์ฟมากขึ้นไปอีก และทำให้ความเสี่ยงที่ไฟล์ต่าง ๆ จะสูญหายมีสูงขึ้น และส่งผลกระทบกับกิจกรรมการเรียน การทำงานต่าง ๆ มากขึ้นไปด้วยนั่นเอง
มีตัวเลือกการสำรองข้อมูลอื่นๆให้เลือกใช้ อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แฟลชไดร์ฟขนาดความจุสูง ๆ ดูจะไม่มีความจำเป็นถึงขนาดที่แบรนด์ผู้ผลิตเจ้าต่าง ๆ พยายามจะโปรโมทก็คือ การที่ปัจจุบันมีช่องทางการสำรองข้อมูลอื่น ๆ ให้ได้เลือกใช้อีกมากมาย เช่นเดียวกับระบบเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ทั้งนี้อย่างที่ทราบกันว่า ประโยชน์การใช้งานแฟลชไดร์ฟสำหรับผู้ใช้งานหลายคนไม่ได้มีเพียงแค่การใช้เป็นพื้นที่สำรองข้อมูล หรือจัดเก็บไฟล์ข้อมูลใดๆ เท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อความปลอดภัยในการเข้าถึงไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ โดยบุคคลอื่นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบกึ่งสาธารณะ เช่น คอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ คอมพิวเตอร์ใน Co-Working Space ซึ่งไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เราทำงานบันทึก จัดเก็บไว้อาจถูกเข้าถึง เปิดดู ส่งต่อโดยบุคคลอื่นได้ ดังนั้นผู้ใช้งานหลายคนจึงเลือกที่จะบันทึกไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ไว้บนแฟลชไดร์ฟที่สามารถพกติดตัวได้ง่าย ๆ แทน อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วปัจจุบันเราสามารถเลือกเพิ่มระบบความปลอดภัยในการเข้าถึงไฟล์ข้อมูลบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องโอนย้ายไฟล์ไปเก็บไว้ที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้วิธีเข้ารหัสโฟลเดอร์ หรือแฟ้มเอกสารนั้น ๆ ซึ่งจะทำให้มีเพียงผู้ที่ทราบรหัสเท่านั้นที่สามารถเปิดเข้าไปดูไฟล์ต่าง ๆ ได้ หรือการใช้ระบบซ่อนโฟลเดอร์จากหน้าเดสก์ท็อป หรือหน้าไดร์ฟนั้น ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถสังเกตเห็นไฟล์ที่เราบันทึกไว้ได้ เช่นเดียวกับระบบสำรองข้อมูลอื่น ๆ เช่น ระบบออนไลน์คลาวด์ต่าง ๆ ก็สามารถใช้เป็นพื้นที่การสำรองไฟล์ข้อมูลแทนการบันทึกลงบนไดร์ฟภายนอกได้นอกจากนี้ยังสามารถใช้ GPS Tracker ติดไว้กับแฟลชไดร์ฟได้ด้วยเผื่อสูญหายหรือหลงลืมไว้ที่ไหนก็จะถามหาได้

พฤติกรรมการใช้ แฟลชไดร์ฟ แบบใดที่ควรระวัง

สิ่งสำคัญที่ผู้ใช้งาน แฟลชไดร์ฟ ต่างนึกระวัง ก็คือการทำยังไงก็ได้ไม่ให้ข้อมูลภายในเกิดสูญหายไปในระหว่างการใช้งาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะคำนึงถึงการระมัดระวังปัญหาไวรัสเป็นหลัก เนื่องจากเป็นสิ่งที่พบได้ง่ายและสร้างปัญหาได้มากที่สุด...

สิ่งสำคัญที่ผู้ใช้งาน แฟลชไดร์ฟ ต่างนึกระวัง ก็คือการทำยังไงก็ได้ไม่ให้ข้อมูลภายในเกิดสูญหายไปในระหว่างการใช้งาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะคำนึงถึงการระมัดระวังปัญหาไวรัสเป็นหลัก เนื่องจากเป็นสิ่งที่พบได้ง่ายและสร้างปัญหาได้มากที่สุด แต่ทั้งนี้มันก็ไม่ได้มีแค่เรื่องของมัลแวร์เพียงอย่างเดียวที่จะทำให้อุปกรณ์ของคุณเกิดความเสียหาย มันยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบให้คุณจำเป็นต้องบอกลาแฟลชไดร์ฟ อันเก่าโดยไม่จำเป็นได้อีก ถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดีพอ

เทคนิคยืดอายุการใช้งาน แฟลชไดร์ฟ

ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อแฟลชไดร์ฟให้เกิดความเสียหายจะมีอยู่ด้วยกันอยู่ 2 ประเภท คือ มาจากการใช้งานอุปกรณ์ด้านฮาร์ดแวร์ กับ เกิดจากการใช้งานด้านซอฟแวร์ ที่ไม่ถูกต้อง

วิธีถนอมการใช้งานด้านฮาร์ดแวร์

1.ดูแล แฟลชไดร์ฟ ให้เหมือนกับของใช้สำคัญ
อย่างแรกเราต้องเข้าใจกันก่อนว่าการผลิตอุปกรณ์ แฟลชไดร์ฟ ไม่ได้ผลิตจากวัสดุที่มีความแข็งแรงอะไรมาก แต่จะเน้นใช้งานได้และให้น้ำหนักเบา ดังนั้นเมื่อมันตกหรือรับแรงกระแทก ก็อาจจะทำให้ชิ้นส่วนเกิดการแตกหัก และยังรวมถึงอากาศร้อนกับความชื้น ที่สามารถทำให้ชิ้นส่วนภายในเกิดการเสื่อมสภาพอีกเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แม้แต่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ยังรบกวนวงจรภายในได้อีกต่างหาก เพื่อป้องกันการตกหล่นควรใช้แฟลชไดร์ฟที่เป็นสายรัดข้อมืออย่าง rubber usb

โดยผู้ใช้ควรหาเคสหรือกระเป๋าใบเล็กสำหรับเก็บแฟลชไดร์ฟ เพื่อให้ง่ายต่อการหยิบใช้งานรวมถึงหลีกเลี่ยงการตกกระแทกของอุปกรณ์ และสภาพแวดล้อมโดยรอบ ให้แฟลชไดร์ฟยังคงอยู่ในสภาพเดิมอยู่เสมอ

2.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเสียบ เข้า-ออก
การใช้งานของคนส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยชอบความรวดเร็ว จึงทำให้เมื่อเสียบหรือถอดแฟลชไดร์ฟออกจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จะทำแบบรุนแรง ซึ่งถ้าหากทำบ่อยเข้ามันก็จะส่งผลให้อุปกรณ์เกิดความเสียหายโดยเฉพาะในส่วนของขั้วเชื่อมต่อ ฉะนั้นแล้วผู้ใช้ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ใช้งานมันอย่างทะนุถนอมขึ้น รวมถึงขณะถอดหรือเสียบเข้าก็พยายามทำให้มันเสียบตรงกับพอร์ต USB อย่าให้อยู่ในลักษณะงอ ขึ้น-ลง มากจนเกินไป

นอกจากนี้แล้วอีกหนึ่งพฤติกรรมที่พบเห็นได้บ่อยคือการเสียบแฟลชไดร์ฟค้างเอาไว้ในขณะที่ยังไม่ได้ใช้งาน โดยรู้หรือไม่ว่าในระหว่างนั้นอุปกรณ์แฟลชไดร์ฟจะยังคงทำงานอยู่ตลอด เนื่องจากระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์จะคอยรันทดสอบการทำงานอยู่เป็นระยะ ซึ่งนั่นหมายความว่าแฟลชไดร์ฟจะต้องคอยเขียนข้อมูลตอบสนองอยู่เสมอ และถ้าหากรันไปมาโดยไม่ได้ใช้งานอะไรก็จะทำให้อายุการใช้งานสั้นลงไปอย่างไร้ประโยชน์

ถนอมการใช้งานด้านซอฟแวร์

1.หยุดการทำงานก่อนดึงแฟลชไดร์ฟออก
ในระหว่างที่แฟลชไดร์ฟยังคงเสียบและกำลังทำงานอยู่ หากผู้ใช้ถอดมันออกโดยทันที จะเป็นการตัดการเขียนข้อมูลอย่างกะทันหัน อาจทำให้เกิดความเสียหายถึงข้อมูล หรือวงจรอุปกรณ์ ซึ่งเมื่อไม่ใช้งานแล้วควรที่จะสั่งให้ระบบปฏิบัติการหยุดเขียนข้อมูลก่อน จากนั้นจึงค่อยถอดแฟลชไดร์ฟออก ผ่านการคลิกขวาที่ไดร์ฟแล้วเลือกเมนู Eject ก็เป็นอันเสร็จ

2.หลีกเลี่ยงการแก้ไขไฟล์ข้อมูลใน flash drive
การหลีกเลี่ยงการเพิ่มจำนวนรอบเขียนข้อมูลของแฟลชไดร์ฟมากเกินความจำเป็น ถือเป็นวิธีการที่ช่วยยืดอายุของแฟลชไดร์ฟได้เป็นอย่างมาก ซึ่งหากต้องการจะแก้ไขไฟล์ ก็ควรจะมีการย้ายหรือคัดลอกออกมาจัดการในเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อเสร็จแล้วก็ให้นำวางในแฟลชไดร์ฟตามเดิม จะเป็นการแบ่งเบาภาระได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า

สรุปแล้ววิธีการถนอมแฟลชไดร์ฟที่ดีที่สุด คือต้องเริ่มจากทำความเข้าใจก่อนว่ามันคืออุปกรณ์สำหรับจัดเก็บและขนย้ายข้อมูล และไม่ควรที่จะใช้งานมันอย่างหนักเกินความจำเป็น เพื่อยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ให้นานขึ้นนั่นเอง จะได้ไม่ต้องคอยซื้อแฟลชไดร์ฟมาเปลี่ยนใช้ใหม่บ่อย ๆ เหมือนกับที่คนอื่นประสบปัญหากันและที่สำคัญควรรักษาแฟลชไดร์ฟให้ดีโดยการเก็บ Package ให้ดี และควรเลือกใช้แฟลชไดร์ฟที่มีวัสดุ ที่ทนทานยกตัวอย่างเช่น  metal usb เป็นต้นเนื่องจากทำมาจากวัสดุที่เป็นโลหะจะทำให้แฟลชไดร์ฟทนท่านเป็นพิเศษ

Top 3 แบรนด์แฟลชไดร์ฟ ที่ดีที่สุดตลอดกาล

ในการเลือกซื้อเลือกหาแก็ดเจ็ตไอทีอย่างแฟลชไดร์ฟไว้ใช้งานนั้น แน่นอนว่าปัจจัยนึงที่ผู้ใช้งานหลายคนค่อนข้างให้ความสำคัญก็คือเรื่องของแบรนด์ หรือยี่ห้อผู้ผลิต เนื่องจากสินค้ากลุ่มแก็ดเจ็ตไอทีนั้นถือเป็นกลุ่มสินค้าที่ค่อนข้างมีความอ่อนไหวในเรื่องของคุณภาพ...

ในการเลือกซื้อเลือกหาแก็ดเจ็ตไอทีอย่างแฟลชไดร์ฟไว้ใช้งานนั้น แน่นอนว่าปัจจัยนึงที่ผู้ใช้งานหลายคนค่อนข้างให้ความสำคัญก็คือเรื่องของแบรนด์ หรือยี่ห้อผู้ผลิต เนื่องจากสินค้ากลุ่มแก็ดเจ็ตไอทีนั้นถือเป็นกลุ่มสินค้าที่ค่อนข้างมีความอ่อนไหวในเรื่องของคุณภาพ และปัญหาจุกจิกระหว่างการใช้งานพอสมควร พูดง่าย ๆ ก็คือผู้ใช้งานจำเป็นต้องเลือกใช้งานสินค้าจากแบรนด์ที่ไว้วางใจได้นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันแบรนด์ที่ผลิตแฟลชไดร์ฟมาวางจำหน่ายในตลาดนั้นก็มีมากมายหลายแบรนด์ด้วยกัน แต่ก็มีเพียงไม่กี่แบรนด์เท่านั้นที่ครองอันดับความนิยมในตลาดมาได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนกลายเป็นแบรนด์ที่ผู้ใช้งานจดจำได้และนึกถึงเป็นลำดับแรก ๆ ไปโดยอัตโนมัติ และยัง เหมาะสำหรับการทำเป็น Gift set เป็นของพรีเมี่ยมไว้ในงานอื่นๆ ซึ่งในบทความนี้เองได้คัดเอาเพียง Top 3 แบรนด์ผู้ผลิตแฟลชไดร์ฟที่ดีที่สุดตลอดกาลมาบอกกล่าวให้ได้ทราบกันพร้อมกับจุดเด่นที่ทำให้แต่ละแบรนด์ครองใจผู้ใช้งานมาได้ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
SanDisk แบรนด์ที่ต้องยกให้เป็นอันดับหนึ่งในตลาดบ้านเราเวลานี้ก็แน่นอนว่าย่อมต้องเป็น Sandisk(แซนดิสก์) นั่นเอง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นแบรนด์ที่อายุในตลาดบ้านเรายังไม่ยาวนานมากนัก แต่เมื่อเทียบกับกระแสตอบรับที่ทำได้ดีอย่างคงเส้นคงวาตลอดช่วงหลายปีหลังก็ต้องยกให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ดีที่สุดที่ผู้ใช้งานไว้วางใจมากที่สุด โดยจุดเด่นของแฟลชไดร์ฟจากค่ายแซนดิสก์ก็คือ เรื่องของคุณภาพที่ทำได้ดีเกินค่าเฉลี่ยของคู่แข่งในตลาด ฟีดแบ็กเรื่องปัญหาชำรุด เสียหายที่ตัวฮาร์ดแวร์ถือว่ามีน้อย นอกจากนี้ยังมีการวางระบบสนับสนุนการใช้งานที่ดี มีการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับใช้ควบคู่กันกับผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานใช้งานแฟลชไดร์ฟรุ่นต่าง ๆ ของแบรนด์ได้อย่างสะดวกมากขึ้น อีกทั้งยังมีหลายรูปแบบเช่น metal usb, casd usd  เป็นต้น
Kingston แบรนด์ผู้ผลิตแฟลชไดร์ฟแบรนด์นึงที่ต้องบอกว่าผู้ใช้งานอุปกรณ์ไอทีในบ้านเราแทบทุกคนรู้จัก และเกินกว่า 50% เคยผ่านการใช้งานสินค้าของแบรนด์มาแล้วก็คือ Kingston(คิงส์ตัน) นั่นเอง โดยคิงส์ตันเป็นแบรนด์ที่มีจุดเริ่มต้นจากคู่หูนักธุรกิจชาวจีนที่สนใจในการพัฒนาอุปกรณ์เสริมสำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ และนับเป็นแบรนด์ผู้บุกเบิกการทำอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลพกพาแบบ USB โดย USB Drive หรือแฟลชไดร์ฟที่คิงส์ตันพัฒนาออกมาถูกวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2001 หรือกว่า 23 ปีมาแล้ว จุดเด่นของคิงส์ตันก็คือการรุกตลาดไปในหลายทวีปทั่วโลก ทำให้ผู้ใช้งานสามารถพบเห็นสินค้าของแบรนด์ได้จากทุกมุมโลก นอกจากนี้สินค้าของคิงส์ตันยังวางจำหน่ายในราคาที่ค่อนข้างคุ้มค่า เมื่อเทียบกับแบรนด์ชื่อดังอีกหลายแบรนด์ และแม้ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่ แต่คิงส์ตันก็มีการอัปเดตนวัตกรรมสินค้าของตนเองให้ทันยุคทันสมัยอยู่เสมอ จึงนับเป็นอีกหนึ่งแบรนด์แฟลชไดร์ฟที่ดีที่สุดตลอดกาล ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานมากที่สุด
Apacer อีกหนึ่งแบรนด์ที่ต้องยกให้เป็นหนึ่งในรุ่นบุกเบิกอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบ USB Drive เช่นกัน ก็คือ Apacer นั่นเอง ทั้งนี้ apacer นับเป็นแบรนด์แฟลชไดร์ฟที่ผู้ใช้งานในบ้านเราคุ้นเคยกันมานานหลายปีแล้ว โดย apacer มีแฟลชไดร์ฟราคาย่อมเยาวางจำหน่ายในตลาดบ้านเรามากมายหลายรุ่น และก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ยอดฮิตที่ทั้งนักเรียน นักศึกษา และคนวัยทำงานในบ้านเราเลือกใช้งาน เนื่องด้วยสเปคที่คุ้มค่าคุ้มราคา และคุณภาพการผลิตที่ไว้วางใจได้ โดย Apacer นั้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดระบบไอทีหลายกลุ่ม ซึ่งไม่เพียงแต่ผลิตแก็ดเจ็ตอย่างแฟลชไดร์ฟมาวางจำหน่ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาระบบซอฟท์แวร์สำหรับธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ด้วย จึงนับเป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างโดดเด่นเรื่องของคุณภาพ และการดีไซน์สเปคและราคาออกมาได้ถูกใจผู้ใช้งานส่วนใหญ่

5 แฟลชไดร์ฟ Type C น่าใช้ ในปี 2024

แฟลชไดร์ฟในปัจจุบันมีหลากหลายแบบมากขึ้นเช่น wooden usb, metal usb, card usb, pen usb เป็นต้น แต่ในการเลือกซื้อเลือกหาแฟลชไดร์ฟสักอันไว้ใช้งานในปี 2024 นี้ แน่นอนว่าหนึ่งในสเปค หรือฟังก์ชั่นใช้งานที่ผู้ใช้งานหลายคนคาดหวังก็คือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ Type C หรือ USB-C ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่อกับหลายอุปกรณ์...

แฟลชไดร์ฟในปัจจุบันมีหลากหลายแบบมากขึ้นเช่น wooden usb, metal usb, card usb, pen usb เป็นต้น แต่ในการเลือกซื้อเลือกหาแฟลชไดร์ฟสักอันไว้ใช้งานในปี 2024 นี้ แน่นอนว่าหนึ่งในสเปค หรือฟังก์ชั่นใช้งานที่ผู้ใช้งานหลายคนคาดหวังก็คือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ Type C หรือ USB-C ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่อกับหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อป แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ทำได้อย่างสะดวกกว่าแฟลชไดร์ฟที่ให้มาแค่พอร์ตมาตรฐานดั้งเดิมอย่าง USB-A เนื่องด้วยปัจจุบันพอร์ต USB-C ได้ถูกนำมาใช้งานเป็นพอร์ตมาตรฐานของอุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ซึ่งทุกแบรนด์ใช้เหมือนกัน เช่นเดียวกับแล็ปท็อปรุ่นใหม่ๆ จากแบรนด์เจ้าดังต่างๆ ก็มีการปรับตัวเพิ่มพอร์ต USB-C เข้ามา บ้างก็เลือกใช้พอร์ต USB-C ทดแทนพอร์ตชาร์จ หรือช่องรับไฟแบบเดิมเลยด้วย ในบทความนี้จึงได้คัดเอา 5 ลิสต์ แฟลชไดร์ฟ Type C ที่น่าสนใจเลือกซื้อเลือกหามาใช้งานในปี 2024 นี้ มาแนะนำให้ผู้ใช้งานได้ใช้เป็นแนวทางเลือกช้อปมาใช้งานกัน
SanDisk Ultra USB 3.1 แฟลชไดร์ฟ Type C ตัวแรกที่เลือกมาอยู่ในลิสต์แนะนำที่น่าใช้งานในปี 2024 นี้ มาจากแบรนด์เจ้าดังที่ผู้ใช้งานจำนวนมากไว้วางใจเรื่องคุณภาพ ซึ่งก็คือ SanDisk ในชื่อรุ่น SanDisk Ultra USB 3.1 แฟลชไดร์ฟความจุ 128 GB ที่มาพร้อมกับพอร์ต USB-C เวอร์ชั่น 3.1 ที่นับเป็นเวอร์ชั่นที่ค่อนข้างใหม่ รับส่งไฟล์ได้รวดเร็วทันใจ(พอร์ตเดี่ยว ไม่มีพอร์ต USB-A มาให้) ดีไซน์ภายนอกสวยเรียบ เป็นสีดำล้วน พิมพ์ชื่อแบรนด์ SanDisk ด้วยตัวอักษรสีเงิน ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 415 บาท
Lenovo Thinkplus 2in1 แฟลชไดร์ฟ Type C ตัวต่อมาในลิสต์แนะนำ มาจากอีกหนึ่งแบรนด์ที่ผู้ใช้งานจำนวนมากก็น่าจะคุ้นชื่อและไว้วางใจในคุณภาพได้ดีเช่นกัน ซึ่งก็คือ Lenovo แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าไอทีเจ้าดัง ในชื่อรุ่น Lenovo Thinkplus 2in1 แฟลชไดร์ฟที่มาพร้อมกับ 2 หัวเชื่อมต่อ USB-C และ USB-A โดยเป็นลักษณะของการหมุนกลับด้านเพื่อใช้งานแต่ละพอร์ต จุดเด่นของ Lenovo Thinkplus นี้ก็คือ สามารถเลือกความจุตามความต้องการใช้งานได้หลากหลายขนาด เริ่มตั้งแต่ 32 GB, 64 GB, 128 GB และ 256 GB โดยในรุ่นเริ่มต้น 32 GB มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 280 บาท และในรุ่นความจุสูงสุด 256 GB มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท
SanDisk Dual FlashDrive แฟลชไดร์ฟ Type C ลิสต์แนะนำอันดับที่สาม เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ต้องบอกว่าค่อนข้างคุ้มค่าจากแบรนด์เจ้าดัง แซนดิสก์ ซึ่งก็คือ SanDisk Dual FlashDrive แฟลชไดร์ฟที่มาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อทั้งแบบ USB-A และ USB-A(หมุนสลับด้านเพื่อใช้งานแต่ละพอร์ต) โดยในรุ่นความจุ 64 GB มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 300 บาท และรุ่นความจุ 128 GB มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 450 บาท
Kingston DT80 แฟลชไดร์ฟ Type C ลิสต์แนะนำอันดับที่ 4 มาจากหนึ่งแบรนด์ที่ผู้ใช้งานหลายคนน่าจะพอรู้จัก และคุ้นชื่อกันดี โดยเฉพาะในช่วง 5-10 ปีก่อน ซึ่งนับเป็นช่วงที่แบรนด์ได้เข้ามาเป็นผู้นำตลาดแฟลชไดร์ฟบ้านเราในชื่อแบรนด์ “Kingston” และแม้ว่าปัจจุบันคิงส์ตันจะไม่ใช่ผู้นำในตลาดแล้ว แต่ปัจจุบันก็ยังคงมีสินค้าออกมาวางจำหน่ายในช่องทางต่างๆ ให้ได้เลือกใช้งานกันอยู่ โดยรุ่นที่เลือกมาแนะนำกันนี้เป็นในชื่อรุ่น Kingston DT80 แฟลชไดร์ฟที่มาพร้อมพอร์ต USB-C ขนาดความจุ 32 GB ดีไซน์เรียบหรู เล็กกะทัดรัดตามสไตล์คิงส์ตัน ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 165 บาท
Aston FlashDrive 2in1 แฟลชไดร์ฟ Type C ลิสต์แนะนำอันดับที่ห้า มาจากแบรนด์ที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อสักเท่าไหร่ แต่ดีไซน์หน้าตาสินค้า สเปค และราคาถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจทีเดียว โดย Aston FlashDrive Type-C เป็นแฟลชไดร์ฟที่มาพร้อมกับพอร์ตเชื่อมต่อ USB-A และ USB-C เวอร์ชั่น 3,0 มีขนาดความจุให้เลือก 2 ขนาด ประกอบด้วยความจุ 32 GB ในราคา 179 บาท และความจุ 64 GB ในราคา 209 บาท เพื่อการใช้งานของแฟลชไดร์ฟที่ยาวนานขึ้นเราควรที่จะมี Package ที่เก็บแฟลชไดร์ฟที่ดี ป้องกันการตกหล่นหรือสูญหาย

เป็นพนักงานออฟฟิศมืออาชีพ ไปกับ แฟลชไดร์ฟ คู่ใจ

เมื่อได้บรรจุเป็นพนักงานออฟฟิศกับบริษัทหรือสำนักงานใดสักแห่ง สำหรับเด็กจบใหม่การเตรียมพร้อมถือเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อแสดงออกถึงความรอบคอบให้ผู้ใหญ่ในที่ทำงานเกิดความไว้วางใจ โดยถ้าหากนึกถึงการเตรียมพร้อมแล้ว นอกจากความรู้และภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ...

เมื่อได้บรรจุเป็นพนักงานออฟฟิศกับบริษัทหรือสำนักงานใดสักแห่ง สำหรับเด็กจบใหม่การเตรียมพร้อมถือเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อแสดงออกถึงความรอบคอบให้ผู้ใหญ่ในที่ทำงานเกิดความไว้วางใจ โดยถ้าหากนึกถึงการเตรียมพร้อมแล้ว นอกจากความรู้และภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ อุปกรณ์การทำงานก็ต้องมีให้ครบด้วยเช่นกัน

บทบาทของ แฟลชไดร์ฟ ในสถานที่ทำงาน

แฟลชไดร์ฟ ( Flashdrive ) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลโดยไม่อาศัยพลังงานไฟฟ้า แต่จะอาศัยเซลล์ของหน่วยความจำ ซึ่งในแต่ละเซลล์จะมีการกักเก็บอิเล็กตรอนเอาไว้เพื่อใช้แทนค่า 1 กับ 0 เป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด น้ำหนักเบา สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทุกรูปแบบที่มีช่องพอร์ต USB ติดตั้งไว้

สำหรับผู้ที่ได้ประจำตำแหน่งหน้าโต๊ะคอม ไม่ว่าจะในฐานะนักบัญชี ฝ่ายบุคคล หรืองานสายใดก็ตาม ที่ต้องพึ่งพาการทำงานจากคอมพิวเตอร์ จะไม่สามารถละเลยการนำ แฟลชไดร์ฟ มาใช้ประกอบการทำงานได้เลย เพราะจำเป็นจะต้องมีการเก็บและขนย้ายข้อมูลอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะทำทั้งในที่ทำงานหรือนำไปทำยังนอกสถานที่โดยเฉพาะการเอามาทำต่อที่บ้านเพื่อให้งานเกิดความต่อเนื่องจนแล้วเสร็จทันตามกำหนดเวลา นอกจากนี้ก็อาจจะมีการขอใช้ไฟล์จากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน ก็ถือเป็นสถานการณ์ที่พบเจอได้บ่อยเช่นเดียวกัน

วิธีการเลือก แฟลชไดร์ฟ อย่างเหมาะสม

1.เลือกขนาดให้เข้ากับลักษณะงาน
แฟลชไดร์ฟที่วางจำหน่ายกันอยู่ในปัจจุบันจะมีความจุต่ำสุดที่ 2-4 GB และมีขนาดความจุสูงสุดตั้งแต่ 128 Gb ขึ้นไป ยิ่งปริมาณมากราคาก็ยิ่งสูงตาม ซึ่งถ้าหากงานไฟล์ของคุณเป็นลักษณะไฟล์บันทึกข้อความ หรือภาพงานทั่วไป ปริมาณขนาด 4 GB ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ถ้าหากมีการเก็บไฟล์ปริมาณมาก มีโปรแกรมขนาดใหญ่ ภาพกับวิดีโอที่มีความคมชัดสูง ความจุตั้งแต่ 32-64 GB ขึ้นไป ถือว่าแนะนำ

2.เลือกสินค้าแท้ ที่ได้มาตรฐาน
การซื้อแฟลชไดร์ฟจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง จะช่วยการันตีถึงคุณภาพสินค้าที่สามารถใช้งานได้จริงและมีอายุยาวนาน เนื่องจากในยุคปัจจุบันมีสินค้าเลียนแบบมากมายอยู่เกลื่อนตลาดซึ่งมักวางจำหน่ายในราคาที่ถูก โดยสามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้จากการเลือกแฟลชไดร์ฟในร้านค้าที่น่าเชื่อถือ มีตำแหน่งที่ตั้งแน่นอน และสามารถรับประกันสินค้าได้ ก็จะทำให้คุณครอบครองแฟลชไดร์ฟคุณภาพได้ไม่ยาก

อุปกรณ์เก็บ แฟลชไดร์ฟ สำคัญไฉน
ถึงแม้ว่าดูเผินๆแล้ว แฟลชไดร์ฟ อาจเป็นอุปกรณ์ที่มีความทนทาน ด้วยน้ำหนักที่เบาเล็กกะทัดรัดอย่าง Recycle Usb, Wooden Usb เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อมันได้รับแรงกระแทกบ่อย ๆ อยู่ท่ามกลางสภาพอากาศชื้นหรือร้อนจัด มันก็สามารถเสียหายได้เหมือนกับอุปกรณ์ไอทีทั่ว ๆ ไป ดังนั้นเพื่อยืดอายุการใช้งาน เราควรหา PACKAGE ที่สามารถเก็บแฟลชไดร์ฟได้ดี จะได้ไม่ต้องเผลอทำตกหรือวางลืมไว้ที่ไหนนั่นเอง

อุปกรณ์เก็บ แฟลชไดร์ฟ มีอะไรบ้าง ?
‌อุปกรณ์สายคล้องห้อยคอ
‌กล่องเก็บแฟลชไดร์ฟ
‌พวงกุญแจห้อย แฟลชไดร์ฟ

ควรมีแฟลชไดร์ฟครอบครอง 2 อัน
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าการทำงานในออฟฟิศอาจมีสถานการณ์จำเป็นที่ต้องทำให้แชร์แฟลชไดร์ฟระหว่างกัน เพื่อให้งานบรรลุตามเป้าได้ ซึ่งการแชร์กันบ่อย ๆ อาจส่งผลต่ออายุการใช้งานให้สั้นลงเร็ว เนื่องจากเราไม่รู้ว่าบุคคลที่ยืมเอาไปใช้นั้นจะรักษามันได้ดีมากน้อยแค่ไหน รวมถึงการเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นก็อาจเสี่ยงต่อปัญหาติดไวรัสตามมา ดังนั้นเราจึงควรซื้อแฟลชไดร์ฟมาใช้ 2 อัน โดยแบ่งเป็นอันหนึ่งสำหรับใช้ส่วนตัวและอีกอันสำหรับใช้แบบสาธารณะ ซึ่งในแฟลชไดร์ฟแบบใช้ร่วมกันนี้ จะซื้อแบบความจุต่ำกว่าที่ใช้งานส่วนตัวก็ได้ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายนั่นเอง หรือนอกจากนี้เรายังสามารถใช้เป็นแฟลชไดร์ฟสำรองในกรณีฉุกเฉินที่แฟลชไดร์ฟส่วนตัวเกิดเสียใช้งานไม่ได้ แต่บางบริษัทอาจจะมีการทำเป็นของพรีเมี่ยมโดยทำเป็น GIFT SET ร่วมกับสินค้าอื่น ๆ แจกแฟลชไดร์ฟให้แก่พนักงาน

การทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้ใช้จำเป็นจะต้องมีความพร้อมอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะทักษะทางคอมพิวเตอร์และการใช้งานอุปกรณ์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้สูงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงการรับมือในเรื่องไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างคอมเสียหรือระบบล่ม แฟลชไดร์ฟ จึงเป็นอีกหนึ่งปกรณ์ที่จะช่วยให้คุณจัดการกับข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นในทุกสถานการณ์

เหตุผลที่ควรใช้แฟลชไดร์ฟแบ็คอัพข้อมูล ก่อนการโอนย้ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์

อย่างที่ทราบกันดีว่าการใช้งานอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ในปัจจุบันมีกิจกรรมนึงที่ผู้ใช้งานหลายคนอาจต้องเจออยู่เป็นระยะ ๆ ซึ่งก็คือการโอนย้ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ หรือก็คือการส่งต่อข้อมูลจากอุปกรณ์นึงไปยังอุปกรณ์นึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุปกรณ์แบบพกพาอย่างสมาร์ทโฟน...

อย่างที่ทราบกันดีว่าการใช้งานอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ในปัจจุบันมีกิจกรรมนึงที่ผู้ใช้งานหลายคนอาจต้องเจออยู่เป็นระยะ ๆ ซึ่งก็คือการโอนย้ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ หรือก็คือการส่งต่อข้อมูลจากอุปกรณ์นึงไปยังอุปกรณ์นึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุปกรณ์แบบพกพาอย่างสมาร์ทโฟน ซึ่งผู้ใช้งานมักจะมีการเปลี่ยนเครื่อง ซื้อเครื่องใหม่มาใช้งานทดแทนเครื่องเดิมบ่อยกว่าอุปกรณ์ประเภทอื่น ๆ ซึ่งก่อนที่เครื่องใหม่จะพร้อมใช้งานแทนเครื่องเดิมได้ก็ต้องมีการโอนถ่ายข้อมูล ทั้งไฟล์ต่าง ๆ และแอปพลิเคชั่น บัญชีผู้ใช้ รหัสผ่านมาจากเครื่องเก่าซะก่อน ทั้งนี้ในการโอนถ่ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ในปัจจุบันถือว่าทำได้ค่อนข้างสะดวก โดยสามารถใช้ซอฟท์แวร์ช่วยในการโอนย้ายข้อมูลของแบรนด์ผู้ผลิตที่มีติดมาให้กับอุปกรณ์ หรือซอฟท์แวร์ช่วยในการโอนย้ายข้อมูลของระบบปฏิบัติการก็ได้เช่นกัน ขณะที่การสำรองข้อมูล หรือแบ็คอัพไฟล์ก่อนการโอนย้ายก็มีวิธีให้เลือกหลากหลายทั้งการสำรองไว้บนระบบคลาวด์ หรือกระทั่งสำรองไปยังอุปกรณ์อื่นที่เราใช้งานอยู่ เช่น แท็บเล็ต แล็ปท็อป คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ซึ่งก็ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผู้ใช้งานหลายคนมองข้ามวิธีแบ็คอัพไฟล์ด้วยแฟลชไดร์ฟ ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในวิธีแบ็คอัพไฟล์ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดวิธีนึงไป ว่ากันง่าย ๆ ก็คือ ผู้ใช้งานบางส่วนเริ่มมองว่าการแบ็คอัพไฟล์ด้วยแฟลชไดร์ฟเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นในปัจจุบันแล้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วการแบ็คอัพไฟล์ด้วยแฟลชไดร์ฟก็ยังคงมีประโยชน์ และข้อดีหลายอย่างที่การแบ็คอัพไฟล์รูปแบบอื่น ๆ ให้ไม่ได้ ซึ่งในบทความนี้เองจะมากล่าวถึงข้อดี และประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุผลที่เรายังควรเลือกใช้งานแฟลชไดร์ฟในการสำรองข้อมูลก่อนการโอนถ่ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์มาบอกกล่าวให้ได้ทราบกัน
สะดวก ปลอดภัยต่อการเข้าถึงโดยบุคคลอื่น ข้อดีแรกที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ ยังควรเลือกวิธีแบ็คอัพไฟล์ด้วยแฟลชไดร์ฟก็คือ ความสะดวก และความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลนั่นเองนอกจากนี้แฟลชไดร์ฟในปัจจุบันก็ยังมีหลากหลายแบบอีกด้วย เช่น pen usb, wooden usb, metal usb เป็นต้น อย่างที่ทราบกันดีว่าการใช้งานแฟลชไดร์ฟสามารถทำได้อย่างสะดวกผ่านพอร์ต USB-A สำหรับอุปกรณ์อย่างคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล็ปท็อป ขณะที่อุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตปัจจุบันก็สามารถใช้งานอย่างสะดวกได้ผ่านพอร์ต USB-C ซึ่งการเลือกหาแฟลชไดร์ฟสักอันมาใช้งานก็อาจเลือกรุ่นที่มาพร้อมทั้งพอร์ต USB-A และ USB-C ก็จะช่วยให้ใช้งานได้ครอบคลุมกับแทบทุกอุปกรณ์ ทั้งนี้การจัดเก็บข้อมูลบนแฟลชไดร์ฟนั้นเป็นการจัดเก็บในรูปแบบออฟไลน์ ซึ่งปลอดภัยต่อการถูกแฮก และมีความเป็นส่วนตัวสูงกว่าการแบ็คอัพผ่านระบบคลาวด์บนครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ช่วยป้องกันไฟล์สำคัญสูญหายจากความผิดพลาดของซอฟท์แวร์ช่วยในโอนย้ายข้อมูล อย่างที่ทราบกันดีว่าวิธีที่สะดวกที่สุดในการโอนย้ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์พกพาในปัจจุบันก็คือการใช้ซอฟท์แวร์ช่วยในการโอนย้ายข้อมูล ซึ่งอาจเป็นซอฟท์แวร์จากทางแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์นั้น ๆ หรือซอฟท์แวร์จากตัวระบบปฏิบัติการ อย่างไรก็ตามในขั้นตอนการโอนย้ายข้อมูลด้วยวิธีดังกล่าวอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากซอฟท์แวร์ดังกล่าวไม่ใช่เวอร์ชั่นล่าสุด ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่ในขั้นตอนการโอนย้ายจะพบเจอกับบัคต่าง ๆ จนทำให้ไฟล์ข้อมูลบางส่วนโอนย้ายไม่สำเร็จ และสูญหายระหว่างขั้นตอน ซึ่งการเลือกใช้แฟลชไดร์ฟแบ็คอัพไฟล์ข้อมูลสำคัญ ๆ ไว้ก่อนจะช่วยป้องกันความเสียหายจากความผิดพลาดดังกล่าวนี้ได้
สามารถส่งต่อไฟล์ไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ ได้สะดวก อย่างที่ทราบกันว่าปัจจุบันไลฟ์สไตล์การใช้งานอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ของผู้ใช้งานหลายคนนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่อุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง โดยอาจมีการใช้งานอุปกรณ์ที่หลากหลายความเหมาะสมของงาน หรือกิจกรรมนั้น ๆ ซึ่งการแบ็คอัพไฟล์ด้วยแฟลชไดร์ฟที่เป็นแก็ดเจ็ตตัวกลางแทนที่จะโอนย้ายไฟล์จากอุปกรณ์ใดไปยังอุปกรณ์ใดตรง ๆ จะช่วยให้การส่งต่อไฟล์ โอนถ่ายไฟล์ให้เหมาะสมกับการใช้งานในอนาคตทำได้อย่างสะดวกมากขึ้น นอกจากที่แฟลชไดร์ฟจะถูกนำมาแบ็คอัพข้อมูลได้แล้วนั้น แฟลชไดร์ฟยังถูกนำไปทำของพรีเมี่ยม โดยเอาไปทำไปทำ GIFT SET เพื่อแจกเนื่องในงานต่าง ๆ

ข้อควรรู้ ก่อนนำแฟลชไดร์ฟมาทำเป็นของพรีเมี่ยม

ของหนึ่งชนิดยอดนิยม ที่แบรนด์ต่าง ๆ นำมาจัดทำเป็นของพรีเมี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ก็อาจจะเลือกเอาแฟลชไดร์ฟ มาทำเป็นของพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ จะว่าไปแล้วการนำแฟลชไดร์ฟ มาทำเป็นของพรีเมี่ยมนั้น...

ของหนึ่งชนิดยอดนิยม ที่แบรนด์ต่าง ๆ นำมาจัดทำเป็นของพรีเมี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ก็อาจจะเลือกเอาแฟลชไดร์ฟ มาทำเป็นของพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ จะว่าไปแล้วการนำแฟลชไดร์ฟ มาทำเป็นของพรีเมี่ยมนั้น ก็นับว่าตอบโจทย์และถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่าปัจจุบันอัตราการใช้งานอุปกรณ์แฟลชไดร์ฟ จะน้อยลงไปมากหากเทียบกับสมัยก่อนก็ตาม แต่เรายังคงเห็นผู้ใช้งานอุปกรณ์นี้ และอุปกรณ์นี้ก็ยังคงเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ ที่ค่อนข้างมีประโยชน์สำหรับคนทำงาน นักเรียนนักศึกษา รวมไปถึงคนทั่วไปด้วยเช่นเดียวกัน แต่ถึงแม้การใช้งานแฟลชไดร์ฟจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่แฟลชไดร์ฟก็ถูกผลิตรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างเช่น PEN USB เป็นแฟลชไดร์ฟที่อยู่ในปากกาและปากกาก็สามารถใช้งานได้จริง ๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์และการเขียนเอกสารบ่อย ๆ RECYCLE USB เป็นแฟลชไดร์ฟรีไซเคิลที่ช่วยลดโลกร้อนได้ เป็นต้น

และสำหรับทางแบรนด์เอง ที่ต้องการนำเอาแฟลชไดร์ฟ มาทำเป็นของพรีเมี่ยมนั้น ไม่ว่าจะของพรีเมี่ยมในรูปแบบการแจกให้กับพนักงานแบบ GIFT SET ที่แจกในองค์กร หรือจะเป็นรูปแบบการมอบให้กับผู้ที่มีอุปการคุณหรือลูกค้า ก็มีครอบครัวรู้ หรือเรื่องที่น่าสนใจที่เราอาจจะมองข้ามไปอยู่ด้วย ดังนั้นวันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องของข้อควรรู้ ก่อนที่คุณจะนำเอาอุปกรณ์แฟลชไดร์ฟ ไปแจกให้กับลูกค้าหรือพนักงาน หรือก็คือการนำไปทำของพรีเมี่ยมนั่นเอง

วัสดุในการทำ หรือฮาร์ดแวร์

ส่วนแรกที่มีความสำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ที่จะมีส่วนทำให้แฟลชไดร์ฟ ออกมามีคุณภาพดีหรือไม่ดีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ในการทำ หรือที่เราเรียกกันว่าฮาร์ดแวร์นั่นเอง ชิ้นส่วนวัสดุที่นำมาประกอบนี้ ผู้ผลิตหรือโรงงานผลิต จะเป็นคนเลือกวัสดุเหล่านี้มาใช้งาน ซึ่งตัวแบรนด์เอง ไม่สามารถที่จะรู้ถึงรายละเอียดของวัสดุที่นำมาใช้ได้เลย วิธีเดียวที่จะสามารถตรวจสอบ ว่าฮาร์ดแวร์ที่นำมาใช้นั้นมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด อย่างง่ายที่สุดก็คือการรับความเห็นจากลูกค้า หากลูกค้าหรือผู้ใช้งานพึงพอใจในคุณภาพของตัวแฟลชไดร์ฟ นั้นก็หมายความว่าฮาร์ดแวร์หรือวัสดุที่ทางบริษัทผลิตนำมาใช้ ถือเป็นวัสดุที่ค่อนข้างมีคุณภาพ และน่าจะเหมาะสมกับการใช้งานบริษัทผลิตนี้ในครั้งถัดไป ความคิดเห็นดังกล่าว ที่ทางแบรนด์จะต้องตรวจสอบอยู่ด้วยกันมากมายหลากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความทนทานในการใช้งาน อายุการใช้งานที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง และเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นรายละเอียดยิบย่อยร่วมด้วย

เวอร์ชั่นสำหรับยูเอสบีที่นำมาใช้

เวอร์ชั่นสำหรับยูเอสบีที่นำมาใช้ อันนี้ก็ค่อนข้างมีความสำคัญเช่นเดียวกัน เวอร์ชั่นดังกล่าว มีผลกระทบโดยตรงกับความเร็วในการรับส่งข้อมูลของอุปกรณ์ของเรา หากเป็นเมื่อก่อน อุปกรณ์ชนิดนี้ก็อาจจะใช้ยูเอสบีเวอร์ชั่น 2.0 แต่ในปัจจุบันนั้น มีการพัฒนาเป็นรูปแบบของ 3.0 หรืออาจจะจนถึง 3.2 ก็มีให้เราเห็นอยู่มากมาย เวอร์ชั่นต่าง ๆ นั้น การที่เราจะผลิตอุปกรณ์ออกมา ยิ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีดีขึ้น อัตราการรับส่งข้อมูลเร็วมากขึ้น ต้นทุนการผลิตก็ยิ่งราคาสูงตามไปด้วย ดังนั้นไม่ได้หมายความว่า การที่ใช้ยูเอสบีเวอร์ชั่นใหม่สุด จะดีที่สุด ทั้งนี้เลือกแบบที่ตอบสนองการใช้งานของคุณ เพื่อลดต้นทุนได้ก็ดีเยี่ยมไม่น้อย

การออกแบบและดีไซน์

เรื่องของดีไซน์และการออกแบบนั้น ถึงเหมือนจะไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่อันที่จริงแล้วมันก็มีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว ที่มักจะสร้างปัญหาให้กับผู้ใช้งาน ก็มักจะจะเป็นเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ที่ไม่ค่อยมีความสำคัญกับการนำไปใช้งานนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่นหากเราต้องการที่จะพกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย ก็ไม่ควรออกแบบให้มีความแหลมคม บางครั้งบางครั้งการออกแบบที่ผิดไปจากรูปแบบหรือรูปทรงมาตรฐาน อาจทำออกมายอดเยี่ยมและทำให้อุปกรณ์ของเราโดดเด่นขึ้นมา น่านำไปใช้งาน ในทางกลับกัน หากออกแบบมาได้ไม่ดีนัก แทนที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดี มันอาจจะได้ผลตรงกันข้ามก็ได้

แฟลชไดร์ฟในเวลานี้ตกยุคแล้วหรือยัง ?

เมื่อพูดถึงศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในช่วงตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอะไรที่รวดเร็วมาก อย่างการถือกำเนิดของวงการBlockchain และ AI ที่เข้ามามีบทบาทจนโลกต้องรีบปรับตัวตามให้ทัน ไหนจะการมาของเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น...

เมื่อพูดถึงศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในช่วงตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอะไรที่รวดเร็วมาก อย่างการถือกำเนิดของวงการ
Blockchain และ AI ที่เข้ามามีบทบาทจนโลกต้องรีบปรับตัวตามให้ทัน ไหนจะการมาของเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นกันคุ้นตาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมันก็ยังเป็นสินค้าที่มีขายกันอยู่ทุกที่อย่างแฟลชไดร์ฟกลับยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างเรียกหากันอยู่ตลอด

แฟลชไดร์ฟคืออะไร ?
แฟลชไดร์ฟเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลชนิดหนึ่งที่ถูกออกแบบมาให้สามารถพกพาและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เพื่อทำการถ่ายโอนข้อมูลภายในคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะไฟล์เอกสาร โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไฟล์เพลงหรือไฟล์วิดีโอ ก็สามารถจัดการได้หมด โดยการจำหน่ายแฟลชไดร์ฟจะมีราคาแตกต่างกันไปตามขนาดความจุภายในเป็นหลัก ตั้งแต่ 4 GB ถึง 2 TB มีหลากหลายแบบเช่น METAL USB, WOODEN USB, TWISTER USB เป็นต้น

การมาของแฟลชไดร์ฟ
เดิมทีก่อนที่ผู้ควรจะหันมาใช้งานแฟลชไดร์ฟกันอย่างแพร่หลาย ก่อนหน้านั้นเคยเป็นยุคของ CD-ROM Drive หรือที่เรียกกันว่า “ แผ่นซีดีรอม “ ซึ่งมีน้ำหนักเบา มีความบางเล็กสามารถพกพาได้ การทำงานค่อนข้างมีประสิทธิภาพในยุคนั้น โดยจะทำงานด้วยการสะท้อนแสงเลเซอร์ไปยังตัวอ่านข้อมูล แล้วส่งต่อให้ CPU ไปทำการประมวลผล ซึ่งทำได้รวดเร็วและประหยัดเวลา

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการผลิตแฟลชไดร์ฟออกมาจำหน่ายมันก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยคุณสมบัติที่ทำได้เหนือกว่า CD-ROM Drive ทุกประการ ทั้งการถ่ายโอนข้อมูลที่ทำได้รวดเร็วกว่า ปริมาณความจุข้อมูลที่มากกว่า ความทนทานที่ไม่เสียหายง่าย รวมถึงความสะดวกด้านการพกพาที่ทำได้ง่ายกว่าอย่างชัดเจน แฟลชไดร์ฟจึงกลายมาเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญของผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์จะขาดไปไม่ได้ ซึ่งในเวลานี้โรงงานผลิต CD-ROM Drive สำหรับเก็บข้อมูล ก็ได้ประกาศปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การถ่ายโอนและเก็บข้อมูลในปัจจุบัน
แน่นอนว่าวงการเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ย่อมต้องได้รับการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งตอนนี้โลกก็ได้มีเครื่องมือสำหรับการเก็บและถ่ายโอนข้อมูลใหม่ ๆ ออกมาแล้ว ทั้ง External Hard Drive ที่เป็นฮาร์ดดิสก์แบบพกพาซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้ในระดับเทเลไบต์ ( TB ) พร้อมกับอ่านข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว กับ Cloud Storage บริการเก็บข้อมูลบนพื้นที่ออนไลน์ ที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์ใดเพิ่มเติม ขอแค่คุณมีอินเทอร์เน็ตก็สามารถฝากเก็บไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ และยังสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้จากอุปกรณ์ทุกเครื่องในต่างสถานที่ได้อีกด้วย

แฟลชไดร์ฟยังจำเป็นอยู่ไหม ?
เมื่อถามว่าแฟลชไดร์ฟยังน่าใช้อยู่ไหมในยุคปัจจุบัน ก็คงต้องตอบว่า แฟลชไดร์ฟยังคงเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นและควรมีพกติดไว้คู่กับการทำงาน เนื่องจากแฟลชไดร์ฟก็มีข้อดีที่น่าใช้งานซึ่งต่างกับ External Hard Drive และ Cloud Storage อยู่ โดยแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้

ความต่างกับ External Hard Drive
ถึงแม้ว่า แฟลชไดร์ฟจะสามารถเก็บข้อมูลได้น้อยกว่า แต่ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันถือว่ายังมีน้อยนักที่ใครจะมีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลไว้มากถึงระดับเทเลไบต์ นอกจากผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์โดยตรงอย่าง นักพัฒนาซอฟต์แวร์ เป็นต้น ขณะที่การทำงานส่วนใหญ่ในออฟฟิศทั่วไปจะยังคงเก็บข้อมูลในระดับกิกะไบต์กันอยู่ ซึ่งบางคนอาจไม่เคยเก็บไฟล์ได้มากถึง 32 GB เลยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้แล้วแฟลชไดร์ฟยังมีขนาดเล็กที่พกพาได้สะดวกกว่ามาก พกเก็บไว้ตาม กระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง หรือห้อยติดกับสายคล้องคอเลยก็ได้ ด้วยเหตุนี้พนักงานส่วนมากจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถึงกับซื้อ External Hard Drive มาใช้งาน

ความต่างกับ Cloud Storage
เมื่อพูดถึง Cloud Storage ไม่ว่าใครก็ต้องนึกถึง Google drive อันเป็นบริการที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด แต่ทั้งนี้การจะใช้งานมันคุณก็จำเป็นจะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วมากพอต่อการถ่ายโอนไฟล์ ซึ่งถ้าหากมีสัญญาณไม่สมดุลก็อาจทำให้การดาวน์โหลดไฟล์มีปัญหาหรือทำไม่ได้เลย ในขณะที่แฟลชไดร์ฟนั่นไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันแม้จะเป็นบริการฟรี แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของปริมาณพื้นที่ ซึ่งถ้าหากต้องการจะขยายความจุให้เพิ่มขึ้น ผู้ใช้จำเป็นจะต้องเสียค่าสมัครบริการแบบรายเดือนหรือรายปี โดยนับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจุกจิกพอสมควร

สรุปแล้ว แฟลชไดร์ฟยังถือเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่อการทำงานอยู่เหมือนเดิม และยังมีความสอดคล้องกับสายงานอีกมากมาย เพราะมีการใช้งานที่เรียบง่าย อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกหาซื้อได้ง่ายและยังถูกใช้เป็นของพรีเมี่ยมโดยจัดเป็น GIFT SET รวมกับสินค้าอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นของแจกของสมนาคุณต่าง ๆ

แฟลชไดร์ฟที่เราใช้งานกัน ที่จริงมันทำงานยังไง

อุปกรณ์สำคัญที่เราไว้ใช้ในการเก็บข้อมูลอย่างแฟลชไดร์ฟนั้น ทุกวันนี้ก็ยังถือเป็นอุปกรณ์สามัญสำหรับใครหลายคนอยู่ดี เนื่องจากมีการใช้งานหรือการใช้ประโยชน์ไม่เพียงแค่เป็นการเก็บ หรือการสำรองข้อมูลเพียงเท่านั้น แต่ยังใช้แฟลชไดร์ฟด้วยกันได้ในหลากหลายกรณี...

อุปกรณ์สำคัญที่เราไว้ใช้ในการเก็บข้อมูลอย่างแฟลชไดร์ฟนั้น ทุกวันนี้ก็ยังถือเป็นอุปกรณ์สามัญสำหรับใครหลายคนอยู่ดี เนื่องจากมีการใช้งานหรือการใช้ประโยชน์ไม่เพียงแค่เป็นการเก็บ หรือการสำรองข้อมูลเพียงเท่านั้น แต่ยังใช้แฟลชไดร์ฟด้วยกันได้ในหลากหลายกรณี หรือหลากหลายการใช้งานยกตัวอย่างเช่นการลง Windows ใหม่ อะไรแบบนี้เป็นต้นก็ยังนิยมที่จะใช้แฟลชไดร์ฟกันอยู่ และในยุคปัจจุบันนี้มีการผลิตแฟลชไดร์ฟออกมาหลายรูปแบบให้เข้ากับยุคปัจจุบันยกตัวอย่างเช่น PEN USB ทั่งทั้งสามารถเขียนเอกสารได้จริง ๆ และยังสามารถเป็นแฟลชไดร์ฟที่เก็บข้อมูลได้อีกด้วยและ CARD USB ที่เป็นบัตรคล้ายกับบัตรเคดิต สามารถพกใส่กระเป๋าตังค์ได้สบาย อีกทั้งยังสามารถทำเป็นนามบัตรได้อีกด้วย

แต่สำหรับใครหลายคนที่ใช้อุปกรณ์ชนิดนี้กันอยู่แล้ว อาจจะมีข้อสงสัยกันอยู่บ้างว่าแท้จริงแล้ว อุปกรณ์แฟลชไดร์ฟสามารถที่จะเก็บข้อมูลได้อย่างไร หลักการทำงานของมันเป็นแบบไหน หรือปัจจัยใดส่งผลกระทบต่อข้อมูล หรือมันสามารถที่จะเก็บข้อมูลได้ยาวนานขนาดไหน วันนี้เราจะชวนคุณมาหาคำตอบหรือมาอธิบายให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับแฟลชไดร์ฟของคุณกัน

แฟลชไดร์ฟ สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างไร

อุปกรณ์แฟลชไดร์ฟจะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า NAND Flash Memory เพื่อใช้สำหรับการบันทึกข้อมูล เจ้าตัวนี้เองสามารถที่จะเก็บข้อมูลหรือบันทึกข้อมูลได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าเพื่อไปหล่อเลี้ยงหรือไปอยู่ หรือเพื่อสามารถให้คงข้อมูลนั้นเอาไว้ได้ ดังนั้นเจ้าตัวนี้เองจึงมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากในการนำมาผลิตอุปกรณ์สำหรับเก็บข้อมูลพกพาได้อย่างสะดวกสบาย ภายในเจ้าตัว NAND Flash Memory ดังกล่าวนี้จะประกอบไปด้วยเซลล์ของหน่วยความจำ ซึ่งเซลล์แต่ละเซลล์ดังกล่าวนั้น จะมีการกักเก็บอิเล็กตรอนเอาไว้ โดยจะใช้ตัวเลขแทนค่า 1 และค่า 0 เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า อิเล็กตรอนบางตัวที่ถูกกักเก็บอยู่จะหลุดออกไป ส่งผลให้การอ่านข้อมูลที่ว่าทำได้ยากขึ้น และนี่เองทำให้อุปกรณ์แฟลชไดร์ฟมีอายุการใช้งานเช่นเดียวกัน

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเก็บข้อมูล

มีปัจจัยมากมายที่ส่งผลกระทบต่อการเก็บข้อมูล หรือกล่าวอีกนัยคือส่งผลกระทบต่ออิเล็กตรอนที่เก็บอยู่ในแต่ละเซลล์ความจำ ที่จะสามารถหลุดออกไปได้ หรือกล่าวให้ง่ายก็คือที่จะทำให้แฟลชไดร์ฟของเรามีอายุการใช้งานที่จะจำกัด มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น เรื่องของคุณภาพการผลิต จำนวนรอบในการเขียนข้อมูล หน่วยความจำแบบนี้มีจำนวนรอบในการเขียนข้อมูลได้จำกัด เมื่อจำนวนรอบที่ใช้สำหรับการเขียนข้อมูลครบแล้ว ความเร็วในการเขียนข้อมูลก็จะเริ่มเสื่อมและเริ่มช้าลงตามกาลเวลา อุณหภูมิที่เราใช้สำหรับการเก็บรักษาอุปกรณ์ชนิดนี้ ก็ส่งผลต่อตัวอุปกรณ์ที่จะทำให้อิเล็กตรอนเกิดการรั่วไหลออกไปได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกัน รวมถึงปัจจัยภายนอกอื่นๆอย่างเช่นความชื้นหรือฝุ่น เหล่านี้ก็ส่งผลกระทบเช่นเดียวกัน

แล้วเราสามารถใช้ได้นานแค่ไหน หรือมันสามารถเก็บข้อมูลได้นานแค่ไหนกัน

ที่จริงแล้วเราไม่สามารถที่จะฟันธงหรือให้คำตอบได้อย่างแน่นอน ว่าอุปกรณ์ของเรานั้นมีอายุการใช้งานมากน้อยเท่าไหร่ มันขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัยมากๆ อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นนี้ หากเรารักษาอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นอย่างดี มีการใช้งานแบบปกติ ก็อาจจะใช้งานได้อย่างยาวนานเป็นหลักหลายปี แต่คนส่วนมากก็มักจะทำพังหรือทำหายก่อน ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา การที่เรานำมันมาใช้งานว่ามากน้อยเพียงใด รวมถึงอีกหลายปัจจัยที่จะให้พูดก็คงพูดไม่หมด

แต่ไม่ว่าเราจะใช้งานอุปกรณ์ชนิดนี้มากน้อยเพียงใดก็ตาม การที่เราเลือกมันมาใช้งานเราควรที่จะเลือกแบบที่มีคุณภาพที่ดี ผลิตมาดีแต่แรกเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน อาจจะลงทุนซื้อของที่มีราคาแพงสักเล็กน้อย การเก็บรักษาก็สำคัญเช่นเดียวกัน เราควรที่จะเก็บเอาไว้ในที่ที่ค่อนข้างเย็นและแห้ง ไม่โดนแดดจัดเป็นเวลานาน
และแฟลชไดร์ฟนั้นนอกจากจะเอาไว้ใช้งาน ยังสามารถเป็นของขวัญได้ด้วย สามารถซื้อแบบเป็น GIFT SET เพื่อเป็นของขวัญให้ใครสักคนที่อาจจะต้องใช้มัน